ไขมันหน้าท้อง VS ไขมันในช่องท้อง ต่างกันอย่างไรแล้วแบบไหน อันตรายกว่า!

แทบจะปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ในยุคสมัยที่เทรนด์เรื่องสุขภาพกำลังมาแรงใคร ๆ ก็อยากที่จะมีรูปร่างที่ดี มีหน้าท้องที่แบนราบกันแทบทั้งนั้น แต่ปัญหาใหญ่ที่ถือเป็นอุปสรรคขัดขวางเส้นทางหุ่นดี ฟิตแอนด์เฟิร์มนั้น ก็คือไขมันส่วนเกินที่สะสมบริเวณหน้าท้อง ซึ่งไขมันตรงหน้าท้องนี้นับเป็นปัจจัยเสี่ยงหนึ่งที่ทำให้เกิดปัญหาสุขภาพต่าง ๆ ตามมามากมายได้ แถมยังทำให้รู้สึกอึดอัดอีกต่างหาก แต่ไม่ใช่แค่คนอ้วนเท่านั้นที่จะพบเจอกับปัญหานี้ คนผอมเองก็มีโอกาสที่จะเกิดภาวะไขมันในช่องท้องได้ หากมีการสะสมในปริมาณมาก ก็มีโอกาสที่จะทำให้โรคร้ายตามมาภายหลังได้ พูดมาถึงตรงนี้แล้ว หลายท่านที่อ่านอาจจะกำลังสงสัยว่า ไขมันหน้าท้อง กับ ไขมันในช่องท้อง ไขมันสองประเภทนี้แตกต่างกันอย่างไร วันนี้เราจะมาทำความรู้จักไขมันทั้งสองประเภทนี้กัน

1.ไขมันหน้าท้อง

เริ่มกันด้วยไขมันหน้าท้อง คือไขมันส่วนเกินที่ทำให้หน้าท้องดูหย่อนคล้อยไม่สวยงาม ไขมันตรงส่วนหน้าท้องนั้นเป็นชั้นที่สามารถสัมผัสและบีบติดมือขึ้นมาได้ โดยในชั้นนี้จะเป็นพลังงานสำรองให้กับร่างกายยามขาดแคลนอาหาร หลายคนอาจเข้าใจว่าไขมันหน้าท้องเกิดจากการรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยคาร์โบไฮเดรตและไขมัน รวมไปถึงการที่ไม่ออกกำลังกาย แต่นั่นก็ไม่ถูกซะทั้งหมด เพราะจริง ๆ แล้วไขมันหน้าท้องเกิดได้จากหลากหลายสาเหตุ เช่น

– กรรมพันธุ์ เพราะมียีนเก็บสะสมไขมันได้ดีที่ส่งต่อมาจากคนในครอบครัว ทำให้เป็นคนที่อ้วนได้ง่าย และไขมันก็มักจะสะสมอยู่ที่หน้าท้อง สะโพก ต้นขา ดังนั้นคนที่ได้รับกรรมพันธุ์นี้มายิ่งต้องระวังเรื่องอาหารให้ดี พร้อมทั้งต้องหมั่นออกกำลังกายหรือเคลื่อนไหวร่างกายบ่อย ๆ เพื่อช่วยเผาผลาญไขมันส่วนเกิน

– ฮอร์โมน โดยเฉพาะผู้หญิงในวัยทองนั้นจะมีระดับฮอร์โมนที่แกว่ง เนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงและความเสื่อมของร่างกาย โดยจะมีระดับฮอร์โมนเอสโทรเจนที่ลดลง ส่งผลให้ระบบเผาผลาญอ่อนแอลงด้วย จึงทำให้อ้วนขึ้นได้ง่าย สังเกตได้จากไขมันที่เริ่มพอกพูนตรงสะโพก ก้น และหน้าท้อง ดังนั้นควรดูแลรูปร่างด้วยการออกกำลังกายด้วยการเล่นเวทเทรนนิ่ง หรือออกกำลังกายเพื่อสร้างกล้ามเนื้อเพื่อลดไขมัน ก็จะช่วยให้มีรูปร่างที่ดีขึ้นได้

– พักผ่อนไม่เพียงพอ เพราะการที่ร่างกายไม่ได้พักผ่อนอย่างเพียงพอ จะทำให้ระบบต่าง ๆ ในร่างกายแปรปรวน ทั้งระดับฮอร์โมน ระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่งอาจส่งผลให้เราอยากกินอาหารรสหวาน และอาหารขยะมากขึ้น จนในที่สุดก็มีไขมันหน้าท้องสะสมจนกลายเป็นพุง

– ความเครียด เพราะเมื่อเกิดความเครียด ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนแห่งความเครียดซึ่งก็คือฮอร์โมนคอร์ติซอลออกมา ทำให้อยากอาหารหวานเพื่อเพิ่มความสดชื่นให้ร่างกาย อีกทั้งฮอร์โมนคอร์ติซอลยังกระตุ้นให้ไขมันในร่างกายกระจายไปยังเซลล์ต่าง ๆ ซึ่งอาจทำให้เกิดไขมันหน้าท้องและไขมันในช่องท้องขึ้นมาได้

– เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะในแต่ละแก้วที่ดื่มเข้าไปแคลอรี่สูงปรี๊ด ยิ่งดื่มก็จะยิ่งส่งผลให้ไขมันเข้าไปสะสมตรงท้องมากเป็นพิเศษ ดังการศึกษาที่พบว่า อาสาสมัครที่ดื่มเก่งจะมีรอบเอวที่หนา และมีพุงมากกว่าอาสาสมัครที่ไม่ค่อยดื่มหรือไม่ดื่มเลย

– ขนมขบเคี้ยวและน้ำหวาน กาแฟเย็น ชาเย็น ที่ดื่มกันอยู่ทุกวัน เป็นแหล่งอุดมไปด้วยน้ำตาลปริมาณสูงปรี๊ด รวมทั้งขนมขบเคี้ยวอื่น ๆ ที่ไม่ได้มีแค่น้ำตาล แต่ยังเปี่ยมไปด้วยแป้งและโซเดียม ส่วนประกอบที่ทำให้มีไขมันสะสมอยู่ตรงหน้าท้องและส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย อีกทั้งโซเดียมยังทำให้เกิดภาวะบวมน้ำได้อีกด้วย

– ไม่ออกกำลังกาย เหตุผลง่าย ๆ ที่ทำให้หลายคนอ้วนลงพุงหรือมีหน้าท้องก็เพราะไม่ชอบออกกำลังกายนี่แหละ ดังนั้นขยับเคลื่อนไหวให้มากเข้าไว้ดีกว่า ถ้าไม่ชอบออกกำลังกายก็เดินเล่นหรือทำงานบ้านไปก็ได้ ได้ประโยชน์ควบคู่ทั้งบ้านสะอาด และหน้าท้องแบนเรียบปราศจากไขมัน

และถึงแม้ว่าไขมันที่สะสมบริเวณหน้าท้องจะมีที่มาจากหลากหลายสาเหตุ แต่วิธีแก้ไขกลับมีวิธีที่แทบจะเหมือนกันคือ ปรับเปลี่ยนวิธีการทานอาหาร หมั่นหาเวลาออกกำลังกาย หรือขยับร่างกายให้ได้มากที่สุด และสุดท้ายต้องพักผ่อนให้เพียงพอ ซึ่งวิธีเหล่านี้ก็เพียงพอที่จะช่วยบรรเทาไขมันที่สะสมอยู่บริเวณหน้าท้องไปได้

2.ไขมันในช่องท้อง

มาต่อกันที่ไขมันในช่องท้อง ไขมันในช่องท้อง หรือ Visceral Fat เกิดขึ้นจากการที่ร่างกายรับสารอาหารประเภทไขมันเข้าสู่ร่างกายเป็นจำนวนมาก และร่างกายไม่สามารถเผาผลาญได้หมดในแต่ละวัน คาร์โบไฮเดรต และน้ำตาลที่ได้รับมากเกินไปก็จะเปลี่ยนรูปเป็นไขมันเช่นกัน ไขมันที่ได้รับนั้นจะแทรกซึมเข้าไปเกาะติดอยู่ภายในอวัยวะต่าง ๆ และกล้ามเนื้อหน้าท้องซึ่งนับว่าเป็นไขมันใต้ผิวหนังชนิดหนึ่ง ยิ่งเวลาผ่านไปนาน ๆ ไขมันชนิดนี้ก็จะมีความแข็งตัวมากยิ่งขึ้น และจะดันให้หน้าท้องป่องออกมาจนเห็นได้ชัดเจน ถ้าหากมีการอัลตร้าซาวน์ตรวจดู ก็อาจจะพบว่าอวัยวะภายในนั้นถูกห่อหุ้มไปด้วยก้อนไขมัน

สาเหตุสำคัญอีกประการที่ทำให้เกิดภาวะไขมันในช่องท้อง คือการไม่ชอบออกกำลังกาย ไม่ชอบเคลื่อนไหวร่างกาย ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้ถึงแม้จะทานน้อย แต่ก็ยังมีโอกาสพบภาวะไขมันในช่องท้องได้ เนื่องจากร่างกายไม่สามารถเผาผลาญพลังงานได้หมดนั่นเอง

ไขมันในช่องท้อง ถือเป็นชั้นไขมันที่อันตรายกว่าไขมันบริเวณอื่น ๆมากที่สุด เนื่องจากไขมันในชั้นนี้สามารถละลายเข้าสู่กระแสเลือดไปสะสมตามอวัยวะต่าง ๆ ได้ อีกทั้งการที่จะเผาผลาญออกให้หมดนั้นยากกว่าไขมันในบริเวณอื่น ๆ ซึ่งถ้าหากปล่อยไว้นาน ๆ ไขมันกลุ่มนี้จะไปขัดขวางทางเดินของเลือดไม่ให้ไปหล่อเลี้ยงเซลล์เนื้อเยื่อต่าง ๆ ในร่างกายของเรา ซึ่งอาจเป็นสาเหตุของการเกิดโรคต่าง ๆ ตามมา

สำหรับวิธีการลดไขมันในช่องท้องนั้นมีด้วยกันหลากหลายวิธีดังนี้

1.ออกกำลังกายให้ครบทุกส่วน

เพราะไขมันในช่องท้องเกิดจากการที่เราไม่ค่อยขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว ไม่ค่อยออกกำลังกาย ดังนั้น วิธีกำจัดที่ดีที่สุดก็คือ การออกกำลังกายนี่แหละ สำหรับการออกกำลังกายเพื่อป้องกันภาวะไขมันในช่องท้องที่ดีที่สุดก็คือ ต้องบริหารร่างกายให้ครบทุกส่วนอย่างน้อยวันละ 45 นาที ติดต่อกันสัปดาห์ละ 6 วัน ด้วยวิธีแอโรบิค จ็อกกิ้ง วิ่ง เล่นฟุตบอล ว่ายน้ำ ทำงานบ้าน ปั่นจักรยาน เต้น T25 เป็นต้น

2.เลิกบุหรี่ และเครื่องดื่มแอลกฮอล์ทุกชนิด

เพราะสารประกอบต่าง ๆ ในบุหรี่เพียง 1 มวนสามารถลดระดับการเผาผลาญพลังงานในร่างกายลงจากปกติถึงได้3% ของน้ำหนักตัว ประกอบกับแคลอรี่ในเครื่องดื่มประเภทแอลกอฮอล์ที่สูงกว่าในเครื่องดื่มทั่วไปที่เมื่อดื่มไปแล้ว ร่างกายจะนำมาสะสมเอาไว้ในรูปของไขมัน แน่นอนว่าหากสังสรรค์แบบนี้ทุกคืนก็ไม่แปลกที่จะลงพุงอย่างเห็นได้ชัด

3.เน้นอาหารประเภทโปรตีน และไฟเบอร์ให้มากขึ้น

เพราะการบริโภคอาหารประเภทแป้ง ไขมันทรานส์ และน้ำตาล เป็นการสะสมไขมันเพิ่มเข้าไป ดังนั้นจึงแนะนำว่า ให้เน้นทานอาหารที่ร่างกายดูดซึมง่าย และเอาไปใช้ในกระบวนการเสริมสร้างมวลกล้ามเนื้อ เช่น อาหารประเภทโปรตีน และอาหารจำพวกไฟเบอร์ หรือใยอาหารสูง  เช่น ถั่วลิสง เนื้อไก่ ผักบุ้ง อโวคาโด รวมถึงการเลือกใช้น้ำมันพืชชนิดไม่อิ่มตัวในการปรุงอาหาร  เช่น น้ำมันรำข้าว น้ำมันถั่วเหลือง เป็นต้น

4.ดื่มนำเปล่าให้มากขึ้น

การดื่มน้ำเปล่าอย่างน้อย 8 แก้วจะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายเผาผลาญแคลอรี่ในอาหารได้ดีขึ้น อีกทั้งยังช่วยให้อวัยวะตับและไตไม่ต้องทำงานหนักด้วย ถือเป็นการดีท็อกซ์อวัยวะภายในได้อีกวิธีหนึ่ง

5.จิบชามัทฉะร้อนให้ได้ทุกวัน

เพราะในชาเขียวมัทฉะมีสารคาเทชิน (Catechins หรือ EGCG) ที่ช่วยลดคลอเรสเตอรอลและส่งเสริมการเกิดออกซิเดชั่นในไขมัน และตัว EGCG ยังช่วยในการย่อยสลายไขมัน โดยช่วยในการเพิ่มการเกิดของ ฮอร์โมน norepinephrine ซึ่งทำหน้าที่ส่งสัญญาณบอกสมองให้ทำลาย fat cell

เห็นอย่างนี้แล้ว ใครที่มีพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อการเกิดไขมันในช่องท้อง ควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการใช้ชีวิตประจำวันและหันมาดูแลใส่ใจในสุขภาพให้มากขึ้น ซึ่งนอกจากจะช่วยให้มีรูปร่างที่ดีขึ้น ยังส่งผลดีต่อสุขภาพร่างกายโดยรวมด้วย รวมไปถึงการเข้ารับการตรวจสุขภาพประจำปีที่จะช่วยประเมินความเสี่ยงให้ร่างกาย ดังนั้นถ้าหากสงสัยว่าตัวเองเข้าข่ายภาวะไขมันช่องท้องหรือไม่ก็สามารถไปเช็กเพื่อความสบายใจกันได้

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *